ไม่มีหมวดหมู่ » คอยล์จุดระเบิดเสียรอบตกเครื่องกระตุกแบบฉับพลันเช็คให้ดีก่อนถึงมือช่าง

คอยล์จุดระเบิดเสียรอบตกเครื่องกระตุกแบบฉับพลันเช็คให้ดีก่อนถึงมือช่าง

9 พฤศจิกายน 2020
3237   0

อาการรอบตกเครื่องกระตุดส่วนมากจะเกิดขึ้นในรถยนต์ที่มีระยะการใช้งานตั้งแต่ 80,000-150,000 กิโลเมตร อันที่จริงแล้วเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสำหรับผู้ใช้รถอย่างเราๆ เพราะเมื่อเกิดสถานการณ์นี้ขึ้นไม่ต้องตกใจเพราะยังสามารถขับไปถึงที่หมายได้ต่อ แต่จะมีเพียงปัญหารอบเครื่องและกำลังเครื่องถดถอยลงไป วันนี้ลองมาดูสาเหตุที่ทำให้รอบเครื่องตก เครื่องกระตุกแบบฉับพลันนี้กันครับ

โดยสาเหตุหลักของรอบเครื่องตก และกระตุกแบบฉับพลันนั้น มักจะเกิดจากปัญหาของระบบการจุดระเบิดที่ไม่เต็มระบบไม่ครบสูบ

ในกรณีที่คอยล์จุดระเบิดมีการเสียหาย สามารถเช็คได้ดังนี้
วิธีเช็คขั้นแรกแนะนำให้ตรวจสอบระบบคอยล์จุดระเบิดเป็นอันดับแรกเพราะสามารถตรวจสอบได้ง่ายที่สุด โดยการสตาร์ทเครื่องและค่อยๆดึงปลั๊กคอยล์จุดระเบิดทีละตัวสลับกันไป หากพบว่ารอบเครื่องยังสะดุดเหมือนเดิมก็แสดงว่าตัวนั้นเสีย แต่ถ้าหากรอบเครื่องสะดุดมากขึ้นก็คือปกตินั่นเอง

คอยล์จุดระเบิด (ignition Coil) นั้นทำหน้าที่สร้างกระแสไฟแรงสูง โดยจะให้หลักการเดียวกันกับหม้อแปลง โดยจะเพิ่มแรงเคลื่อนของกระแสไฟฟ้าที่ 12 โวลต์ให้เป็นไฟแรงสูงถึง 18,000 – 40,000 โวลต์ซึ่งแตกต่างกันในเครื่องยนต์เบนซินแต่ละรุ่นแต่ละขนาดจะไม่เท่ากัน วัตถุประสงค์เพื่อให้การกระโดดของกระแสไฟที่ปลายเขี้ยวหัวเทียนเป็นองค์ประกอบในการจุดระเบิดการเผาไหม้

focus to Ignition coil of car engine

ส่วนประกอบภายในคอยล์จุดระเบิด ประกอบด้วย ขดลวดแบบ ปฐมภูมิ และขดลวดแบบ ทุติยภูมิ พันอยู่บนแกนเหล็กอ่อนเดียวกัน โดยขดลวดปธมภูมิจะเป็นลวดทองแดงขนาดใหญ่พันรอบแกนประมาณ 150-300 รอบ รับไฟฟ้าแรงดันต่ำที่จ่ายมาจากแบตเตอรี่ ขณะที่ขดลวดแบบทุติยภูมิเป็นขดลวดไฟฟ้าแรงดันสูงเพื่อจ่ายให้กับหัวเทียนพันด้วยลวดทองแดงขนาดเล็ก ประมาณ 20,000 รอบ

โดยสามารถสังเกตคอยล์เสื่อมสภาพ มีได้ 2 อย่างคือ

1.เนื้อพลาสติกที่ห่อหุ้มภายนอกหมดอายุ-เสื่อมสภาพ เบื้องต้นให้สังเกตว่าคอยล์มีรอบแตกหรือรอยร้าวหรือไม่ จากนั้นให้ลองใช้เทปพันสายไฟพันที่ก้านของคอยล์แล้วขับทดสอบถ้าอาการดีขึ้นมีอาการสะดุดน้อยลง ก็เท่ากับว่าคอยล์รั่วนั้นเอง

2.หากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในเสื่อม – เสียหาย ทั้งนี้การเสื่อมสภาพดังกล่าวส่วนใหญ่มากจากความร้อนของเครื่องยนต์สามารถทดสอบได้จากระยะการกระโดดของกระแสไฟที่จะสั้นกว่าปกติหรือรถในบางรุ่นก่อง ECU สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของการทำงานได้โดยจะโชว์ Engine light ที่หน้าปัดรถยนต์