ข่าวรถยนต์ไฟฟ้า (EV) » ปีหน้ามาแน่ รถไฟฟ้า EV จากญี่ปุ่น พร้อมชนตลาดจีน ในปี 2024

ปีหน้ามาแน่ รถไฟฟ้า EV จากญี่ปุ่น พร้อมชนตลาดจีน ในปี 2024

25 ธันวาคม 2023
535   0

ปี 2023 เรียกว่าเป็นปีทองของรถไฟฟ้า EV จากทางประเทศจีนซึ่งได้มาตีตลาดรถยนต์ EV ในประเทศไทยจนทำให้ชิงส่วนแบ่งของตลาดไปมากกว่าครึ่งต่อครึ่ง และในปีหน้า ทางญี่ปุ่นเองก็ได้เริ่มเปิดตัวรถไฟฟ้า EV บ้างแล้ว และเตรียมทดสอบวิ่งและมีแผนวางจำหน่ายในหลายๆรุ่นหลายๆแบรนด์

1.Toyota Hilux REVO BEV
ในช่วงปีหน้าทาง Toyota ก็จะเริ่มวางจำหน่ายเป็นทางการ ถ้าหากใครวิ่งถนนผ่านไปผ่านมาอาจจะได้พบเจอกัย Toyota Hilux REVO BEV ที่เรื่มทดลองวิ่งบนถนนในช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมาโดยมีการบรรทุกหลังคาท้ายเพื่อเสริมน้ำหนักให้มากยิ่งขึ้นเหมือนกับการขนของไปในตัว

Toyota Hilux REVO BEV จะมาพร้อมกับยกระจังหน้าปิดทึบมีการออกแบบลายล้อขนาด 20 นิ้วมีการออกบบลวดลายล้อให้ดูเป็นรถยนต์ไฟฟ้า มีการติดป้ายสัญลักษณ์ BEV ที่ด้านท้าย แต่ภายในห้องโดยสารก็ยังเป็นการจัดวางอุปกรณ์ต่างๆ แบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนหน้าปัดแบบดิจิทัลมาแทนที่อันนล็คเพื่อแสดงผลค่าต่างๆได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และปรับเปลียนชุดเกียร์ใหม่เป็นชุดเกียร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในตำแหน่งเดิม

Toyota Hilux REVO BEV ติดตั้งมอเตอร์ไว้ที่เพลาท้ายขับเคลื่อนล้อคู่หลังโดยมีการออกแบบ คานแข็งใหม่ไร้เพลาส่งกำลังส่วนตำแหน่งหัวชาร์จไฟ จะอยู่ที่แก้มซ้ายของตัวรถ

ซึ่งในรายละเอียดยังไม่ได้ระบุแน่ชัดเกี่ยวกับระยะวิ่งที่สามารถทำใด้อาจจะอยู่ราวๆ 200 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่สามารถทำได้ 12-13 วินาทีโดยประมาณ


2. Honda HR-V e:N1
ทาง Honda เองก็มีแนวโน้มที่จะผลิตรถยนต์เพื่อครอบครัวตามเส้นทางที่ตัวเองได้ปูมาตั้งแต่พักใหญ่ในปีหน้าก็ได้เตรียมเปิดตัว รถยนต์ไฟฟ้า BEV ครอบครัวขนาดกลาง ที่มาครั้งนี้เคลมไว้ว่าสามารถเดินทางได้ไกลถึง 510 กิโลเมตร ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC และยังสามารถชาร์จแบบ DC ตั้งแต่ 10-80% ใน 45 นาที ระบบชาร์จไว DC Charger ภายในเวลา 11 นาที สามารถวิ่งได้ไกล 100 กม. ส่วนระบบชาร์ตแบบ AC Charger ที่ 10-80% ได้ภายใน 6 ชั่วโมง

ดีไซน์ภายนอกของ Honda e:N1 จะมาในสไตล์เดียวกับ Honda Hr-V แต่มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดตามจุดต่างๆ ให้ดูมีความแตกต่างออกไป กระจังหน้าที่เปลี่ยนเป็นช่องสำหรับชาร์จไฟฟ้า โลโก้ H-mark ด้านหน้ามีสีขาว โลโก้ Honda เป็นตัวอักษรที่ด้านหลัง ล้ออัลลอยขนาด 18″ พร้อม Aero Cover Wheel ลดแรงเสียดทานอากาศ และแผงชุดแบตเตอรี่ติดตั้งไว้ใต้ท้องรถพร้อมการ์ดกันกระแทก

ด้านภายในโดดเด่นด้วยจอแสดงผลขนาดใหญ่ 15.1 นิ้ว ได้แบ่งเมนูไว้ 3 โซนได้แก่ โซนด้านบนขะเป็น Connect / โซนกลาง Driver Assist / โซนด้านล่าง Air Diffusion System เพื่อให้ได้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้นและรองรับการเชื่อมต่อแบบ Apple Car Play และ Andriod Auto พร้อมด้วยฟังก์ชั่น Wi-Fi ในรถยนต์และการอัพเดท Software แบบ Over-the-air

ลักษณะของ Honda e:N1 จะเป็นรถไฟฟ้าที่ขับได้ไวสมูทนุ่มนวล ไม่กระโชกโฮกฮาก และมีความใกล้เคียงกับรถสันดาปทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องปรับตัวเยอะแต่ก็ยังคงแรงบิิดได้สูงถึง 310 นิวตัน-เมตร เพื่อใช้ในจังหวะของการเร่งแซงและเค้นพลังอัตราเร่ง 0-100 ได้ภายใน 7.6 วินาที ถึงจะดูไม่หวือหวาเหมือนกับทางค่ายจีนแต่ก๋พอที่จะใช้งานในบางจังหวะได้อย่างสมเหตุสมผล แต่ถ้าหากคุณกำลังหารถที่รวดเร็วปรูดปราด Honda e:N1 อาจจะได้รถที่ตอบโจทย์ของคุณ

ทาง Honda เองก็ได้มีการเปิดตัวให้ได้ยลโฉมภายในปี 2023 ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในปีนั้น แต่คาดว่าจะมาวางตลาดในปีถัดไปอย่างแน่นอน ก็ต้องรอติดตามกันต่อไป


3. Mazda MX-30 BEV
All New Mazda MX-30 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่เปิดตัวมาคู่กับ รุ่น Rotery-Hybrid แต่ก็ยังมีรุ่นที่เป็นรถ Full Electric 100% เช่นกัน และในปีหน้าก็เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมาพร้อมกับประตูแบบ Freestyle Door หรือที่เราเรียกว่า ประตูแบบตู้กับข้าว และมีการตั้งชื่อเรียกเทคโนโลยีใหม่ e-SKYACTIV ซึ่งเป็นชื่อเรียกของทาง เทคโนโลยีแบบไฟฟ้า 100% ของ Mazda

MX-30 จะมีขนาดที่ใกล้่เคียงกับ CX-30 แต่จะต่างเพียงดีไซน์และสไตล์ของตัวรถโดยจุดเด่นและเอกลักษณ์ของ MX-30 คือประ๖ูแบบ Suicide Door เปิดแบบตู้กับข้าว

e-Skyactive รถยนต์ไฟฟ้า 100% ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 143 แรงม้า ให้แรงบิดสูงสุดที่ 265 นิวตันเมตร และแบตเตอรี่ความจุ 35.5 kWh ขับเคลื่อนที่ล้อหน้า อัตตราเร่ง 0-100 km/h อยู่ที่ 9.7 วินาที ความเร็วสูงสุดที่ 140 km/h ระยะวิ่งไกลสูงสุด ที่ 237 km. ต่อการชาร์จ (ตามมาตรฐาน NEDC)

Mazda MX-30 จะใช้การชาร์จแบบ AC Type2 รองรับการชาร์จ 6.6 kW ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง 30 นาที และการชาร์จแบบกระแสตรง DC Fast Charging รองรับ 40 kW ใช้เวลาจาก 20-80% ภายใน 36 นาที


4. Mitsubishi Airtrek EV

เป็นรถ EV ยุคแรกของทาง Mitsubishi เลยก็ว่าได้ เกิดจากความร่วมมือของการร่วมทุนระหว่าง (GAC) จนกลายเป็นรถที่มีรูปลักษณ์ค่อนข้างต่าง Concept ของแบรนด์ไปมาก เพราะโดดเด่นทที่กระจังหน้าที่ใหญ่แต่ถูกปิดทึบตามสไตล์ของรถไฟฟ้า EV มองคล้ายๆ เหมือนกับ Expander แต่ยกเอาพละกำลังของ GAC Aionn V มาทั้งชุดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า รหัส TZ10XYA1202 ความจุของ 73 กับ 80 kWh ให้มาไกลมากถึง 14 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร สามารถวิ่งได้ไกลถึง 500 ถึง 680 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย ซึ่งจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติไฟฟ้าซึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือโครงสร้างของตัวรถเสา D ที่มีความต่อเนื่องกับตัวรถ และโค้งไปยังประตูบานท้ายทำให้เหมือน กับ Xpander ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วพร้อมยาง 235/55R19 และ 20 นิ้ว พร้อมด้วยยาง 255/45 R20 ด้านท้ายมาในแบบ T-shaped และฝาท้ายทรงหกเหลี่ยมสำหรับราคาที่กำลังจะเปิดตัวในปี 2024 อยู่ราวๆ 240,000 หยวน หรือตีเป็นเงินไทย 1,075,000 – 1,229,000 บาท(ยังไม่รวมกับภาษีนำเข้าของไทย)


5.Nissan Micra EV

Nissan Micra จะใช้แพลมฟอร์ม CMF-BEV ในตำแหน่งรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก และสามารถวิ่งได้ 402 km. ต่อการชาร์จบนชุบแบตเตอรี่ 50 kWh และกำลังขับประมาณ 135 แรงม้า และมีข่าวว่า ในปี 2024 อาจจะมรีการวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เพราะเมื่อ ช่วงปลายปี 2023 ได้ทำการเปิดตัวในงาน Motor Expo 2023 ที่ผ่านมาอย่างตื่นตาตื่นใจเพราะด้วยหน้าตาที่ล้ำสมัย เพราะมาคราวนี้ทางนิสสันไม่ได้เป็นผู้ออกแบบแต่เพียงหนึ่งเดียว โดยมี Renault และ Mitsubishi มาดูแลทางด้านวิศวกรรมได้ประกาศร่วมมือด้านรถยนต์พลังงานไฟฟ้าร่วมลงทุนกว่า 23 พันล้านยูโร เพื่อจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราวๆ 35 รุ่น และจะมีการแชร์แพลทฟอร์ม

นอกจากรุ่นนี้จะได้มือดีมาร่วมสร้างแล้ว ยังเผยเอาเอกลักษณ์ของตนเองออกมาผสมผสานได้อย่างลงตัวจากแนวคิด Micra และ Renault โดยจะใช้ แพลทฟอร์ม CMF-BEV สามารถขับได้ไกลถึง 400 กม./ชาร์จ ตามมาตรฐาน รถแฮทช์แบคโดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 136 แรงม้า และรุ่นที่สูงกว่า โดยจะมีมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 218 แรงม้า และคาดว่าราคาอาจจะสูงถึง 20,000-25,000 ยูโร หรือราวๆประมาณ 740,000 – 930,000 บาทโดยยังไม่รวมภาษีของประเทศไทย

อ่านข่าวสารรถยนต์เพิ่มเติม