เชื่อว่ารถมือสอง โดยส่วนใหญ่ถ้าหากพูดถึงรถสะสมปี 90 หลายๆคนก็ต้องนึกถึงรถรุ่นใหญ่ๆอย่าง TOYOTA Supra ,Mazda RX7 ,Honda NSX หรือไม่ก็ Nissan Skyline อย่างแน่นอน อันที่จริงแล้วเจ้ารถที่มีราคาต่ำหลายๆคันที่อยู่ในท้องตลาดบ้านเรา บางครั้งอาจจะถูกจอดลืมแบบไม่เห็นค่า แต่คุณรู้หรือไม่ว่า กระแสรถเก่า ในปี 90 ที่ผมจะยกตัวอย่างในบทความนี้ เรียกว่ากำลังจะกลับมาสวนกระแสรถระบบพลังงานไฟฟ้าที่กำลังจะเข้ามาแทนที่ในปัจจุบัน ทำให้คนหันมาเริ่มเก็บเจ้ารถเก่าที่เป็นรุ่นที่มีเรื่องราวต่างๆ มากมายให้ได้คุยในหมู่นักอนุรักษ์ และเคยอยู่ในยุคที่เฟืองฟูสุดๆของวิวัฒนาการรถยนต์ อย่างปี ค.ศ. 90 ลองมาดูกันครับว่ากระแสรถ 90’s ตอนนี้ มีรุ่นไหนปีไหนบ้างที่น่าเก็บครับ
1.Mitsubishi Lancer 1992-1996 (EVOLUTION)
เรียกว่า เป็นรถกระแสนิยมสำหรับคนอายุประมาณ 30 ขั้นไปจะเข้าใจดีว่าในช่วงเวลานั้นๆ เจ้า Mitsubishi Lancer ปี 1992-1996 หรือที่วงการนักเลงรถนิยมเรียกกันว่า E-CAR ถือว่าเป็นที่วัยรุ่นนำมาปั้น เป็น Mitsubishi Evolution I, II, และ III
โดยเรียกว่า ปัจจัยที่ทำให้รุ่นนี้เป็นกระแสนิยมคือ หนังดังจาก Thunder Bolt “เร็วฟ้าผ่า” ที่นำแสดงโดย เฉินหลง หรือ Jackie Chan ซึ่งทำให้รุ่นนี้ดูน่าขับน่าอวดมากขึ้น หากคุณจะนำมาขับใช้งานเก๋าๆ ก็ไม่อายใคร หรือจะนามาแต่งเพิ่มเติมเพื่อเก็บก็ไม่ยากเกินไปเพราะอะไหล่ยังสามารถหาได้ตามท้องตลาดตามคลับแต่งรถหรือ กลุ่มเฉพาะ ในปัจจุบันยังสามารถหาซื้อได้ตามเต็นท์รถมือสองหรือตามบ้าน
2.Honda Civic EG 3 Door 1992-1995
เชื่อว่า สาวก 90’s ไม่มีใครไม่รู้จักกับสมยานามติดปากว่า “ซีวิคสามดอ” อย่างแน่นอน เพราะเป็นชื่อนิยมเรียกเล่นๆจนติดหู ตั้งแต่หนุ่มเล็กจนไปถึงหนุ่มใหญ่วัยกลางคน เรียกว่าเป็นสุดยอดรถรุ่นเล็กของนักเลงรถใน ยุคนั้น ทีเปิดตัวมาในราคา 361,000 บาท ในรุ่น LX เกียร์ธรรมดาเท่านั้นโดยพกเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร 91 แรงม้า และอีกรุ่นย่อยเป็นเกียร์อัตโนมัติ รุ่น EX ในราคา 396,000 บาท ในสมัยนั้น แต่ในปัจจุบัน คงหาเครื่องเดิมๆยากไปแล้วเพราะวัยรุ่นไทยส่วนใหญ่นิยมนำไปวางเครื่อง K20 หรือที่สายซิ่งเรียกว่า เครื่อง “เทคฝาแดง” ด้วยบอดี้ที่เล็ก มีน้ำหนักเบา รูปทรงความเตี้ยศูนย์ถ่วงต่ำนักเลงรุ่นเก่าๆนิยมมักเรียกรูปโฉมนี้กันว่า “โฉมเตารีด” โครงสร้างเล้กน้ำหนักเบา จึงรีดความแรงได้ดี ถูกใจสายซิ่งหลายๆสำนักแข่งจึงเลือกบอดี้เป็นตัวเลือกแรกๆ
3.Nissan Cefiro A31
เป็นรถยอดนิยมของนักเลงรถซิ่งเป็นอย่างมาก เพราะด้วยลักษณะของบอดี้ที่ใหญ่ ขับหลัง ฝากระโปรงที่ยาว สามารถวางเครื่องใหญ่ๆ ระดับ RB20 ,RB26 หรือ1JZ ,2 JZ ได้อย่างเหลือๆ อีกทั้งรูปทรงที่เตี้ย แบน เหมือนกับ Silvia S13, S14, S15 ทำให้เจ้า A31 กลายเป็นตัวเลือกของหลายๆสำนักแข่งที่นำเอาไปดัดแปลงสภาพจนร่างแก่่ๆ ออกมาเป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว จบๆแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ถ้าหากว่าคุณสนใจแล้วหละก็ สามารถหาจับได้ตั้งแต่ ราคา 80,000 จนไปถึง 2 แสนปลายๆ
4.BMW E36 (นกแก้ว)
เรียกว่าเป็นรถสายยุโรปที่มีรูปทรงบอดี้ อมตะตลอดกาล อีกหนึ่งรุ่นในปัจจุบันถือว่าเป็นรถที่หาได้ไม่ยากมาก แต่หารถสภาพดีๆ ยากกว่าเพราะคุณมักจะไม่เจอเครื่องเดิมช่วงล่างดีเหมือนสมัยหนุ่มๆ นอกจากคุณรับช่วงต่อมาจากคนเล่นรุ่นนี้ฉายาที่ถูกตั้งขึ้นมาเพราะดูจากหน้าตารุปโฉมที่เหมือนกับ “นกแก้ว” แต่ในปัจจุบันราคามือสอง ก็ถือว่าไม่แรงมากนัก และการดูแลในเรื่องของค่าอะไหล่ก็ไม่หนักหนาเหมือนกับเมื่อก่อน ซึ่งอะไหล่บางตัวก็สามารถหาได้ไม่ยากมากแล้ว อีกทั้งหน้าตาที่ดูเทห์และมีชุดแต่งหลายสำนักให้เลือกเล่นทั้ง M Performance, Alpina, AC Schnitzer,Breyton หรือ Hamman จึงทำให้นักปั้นหน้าใหม่ๆก็เริ่มที่จะหันมาเล่นรุ่นนี้ เชื่อว่าใครที่ชอบในทรงของ BMW ก็จัดไปปั้นต่อได้เลยครับ
5.Subaru Impreza STi
Subaru อาจจะไม่ใช่รถแบนด์ที่ใครหลายๆคนรู้จักนิสัยใจคอเป็นอย่างดีออกจะเฉพาะกลุ่มซะด้วยซ้ำหรือไม่ก็ถูกหลายๆคนเมินไม่หันมามองเลยด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่เล่นรถแรงแบรนด์รองของดีตั้งแต่โรงงาน อย่าง SUBARU Impreza STi ตัวนี้ที่ในปัจจุบันก็มีราคาที่ไม่เกินเอื้อมมากนัก ตอบสนองรถสายซิงในฝันของใครหลายๆคนได้เป็นอย่างดีสำหรับ Model 2bb ปี 1994-1997 เครื่องยนต์ 2.2 ลิตร แบบเทอร์โบชาร์จ (Turbocharged) 4 สูบ ให้กำลัง 276 แรงม้า เรียกว่าเป็นรถที่แรงตั้งแต่บ้านเกิดเปิดตัว ราคาที่หาได้อยู่ราวๆ 3 แสน ต้นๆ จนไปถึง 6 แสนปลายๆ ขั้นอยู่กับสภาพว่าสมบูรณ์แค่ไหน และเป็นคู่แข่งตลอดกาลของ Mitsubishi Lancer Evolution มาตั้งแต่แรกเริ่มจึงทำให้ เป็นที่โด่งดังในหมู่รถ 4 ประตู และขอเตือนก่อน ถ้าเจอบนท้องถนน ถึงจะ cc. ไม่เกิน 2.0 หรือเทียบเท่าก็อย่าคิดจะลองของกับพี่เขาดีกว่าครับ
6.Nissan 200 SX
รถสปอร์ตคูเป้ที่ติดตลาดในยุคนั้นทรง riftback ตัวแรงนำเข้าจากญี่ปุ่นเป็นรุ่นสานตำนาน Roadster ไฟ Popup ตามวิวัฒนาการของยุคนั้นๆได้อย่างลงตัว ตำนานรถดริฟต์ นิยมมาเปลี่ยนหน้าเป็น Nissan Silvia เพราะมีราคาที่ถูกและเบาะกว่า ซึ่งนำพาร์ทหน้าของ Silvia มาใสได้พอดีเป๊ะๆ ถ้าใครครอบครองได้เป็นเจ้าของพูดเต็มปากเลยว่าหล่อดึงดูดสายตาไม่ใช่น้อย
Nissan 200SX เริ่มเปิดตัวเมื่อในปี 1992 เป็นปีแรก และวางเครื่อง CA18DET ทั้งในเกียร์ธรรมดาราคา 985,000 บาท และเกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,030,000 บาท เครื่องเดิมก็แรงพอตัว รหัส CA18DET 1.8 เทอร์โบ 170 แรงม้า ถ้าหากเพิ่มอ๊อฟชั่นอย่าง ซันรูฟ ก็จะถูกอัพราคาเพิ่มขึ้นถึง 3 หมื่นเลยทีเดียว และรุ่นไมเรอ์เชนจ์ช่วงสุดท้ายในปี 1996 ราคาดีดไปถึง 1.35 ล้านบาท ก่อนรุ่นนี้จะค่อยๆ หายไปอย่างเงียบๆ เหลือไว้แต่ตำนาน โดยพักหลังนักแต่งรถมักจะวางเครื่องเป็น SR20 DET ฝาแดงเครื่องแรง 2.0 ลิตร อัพความแรงไปได้กว่า 250 แรงม้า เรียกว่าถูกใจนักเลงสายซิ่งได้เป็นอย่างดีในปัจจุบันยังพอหาซื้อเป็นเจ้าของได้ เริ่มต้นจากราคา 5 แสนกลางๆจนไปถึง 9 แสนต้นๆ แล้วแต่สภาพและความพอใจของเจ้าของรถครับ
7.TOYOTA MR2 SW20
MR2 เป็นรถเครื่องวางกลางลำรุ่นแรกของ TOYOTA ขับเคลื่อนล้อหลังอย่างเต็มรูปแบบหรือเรียกกันว่า Mid-Engine Rear Wheel Drive โดยจะเน้นความสปอร์ทแบบ Super CAR ถือกำเนิดเปิดตัวในปี 1984 และได้ออกแบบใหม่ในปี 1989 ตัวถังมีขนาดใหญ่ขึ้น และน้ำหนักที่มากกว่ารุ่นก่อน เนื่องจากการเพิ่มในเรื่องของความกว้างของห้องโดยสารโดยเน้นความสนุกในการขับขี่แต่ยังคงให้ความประหยัด
8.TOYOTA COROLLA AE101
หลายคนคงไม่เชื่อว่า TOYOTA COROLLA รหัส AE101 เป็นรุ่นที่จะติดรถสุดฮิตน่าเก็บของกลุ่มวัยรุ่น ยุกต์ 90 เพราะด้วยความฮิตติดตลาดตั้งแต่รุ่นพ่อสู่รุ่นลูกทำให้เป็นรุ่นอมตะยอดนิยมจนมาถึงทุกวันนี้ และยิ่งกว่านั้นประวัติที่ทำให้เป็นตำนานก็คือ เป็นรุ่นแรกที่ได้ใช้โลโก TOYOTA รูป 3 ห่วงที่ใช้กันในปัจจุบันจึงกลายมาเป็นฉายา โตโยต้า โคโลล่า สามห่วงนั่นเอง ในช่วงที่ออกมายลโฉมสู่สายตาโลกครั้งแรกใช้เครื่องตระกูล 4A ถ้าใครศึกษามาอย่างลึกซึ่งจะรู้กันดีกว่า ถึกทนยันทายาท และเป็นเครื่องที่พัฒนาต่อมาจากรุ่นโตโยต้า โดเรม่อน เป็นรหัส 4A-FE ขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลัง 116 แรงม้า สมัยนั้นถือว่าเป็นรถบ้านที่ขับสนุกเลย และรุ่นสุดท้ายในเครื่องยนต์ 1.3 ลิตร คาบูเรเตอร์ 12 วาล์ว จากรุ่น 2E เปลี่ยนมาเป็น หัวฉีดแบบ EFI และตีรหัสใหม่มาเป็น 4E-FE เล่นทำเอายอดขายถล่มทลายจนขายกันแทบไม่ทัน
โดยจุดเด่นคือการใส่ออพชั่นมาให้เต็มเหนี่ยว อย่าง พวงมาลัยพาวเวอร์ กระจกไฟฟ้า เครื่องเล่น วิทยุ-เทป กระจกข้างปรับแบบไฟฟ้า และเข็มขัดนิรภัยที่สามารถปรับระดับสูงต่ำได้ เหมาะกับนักปั้นมือใหม่สุดๆเพราะสามารถหาอะไหล่เทียบหรือเข้าอู่ได้ทั่วประเทศไทยจึงกลายเป็นรถยอดนิยมน่าเล่นไปเลย
9.Honda Prelude
ตำนานพรีลูทรถสปอร์ท Compact Car ของ Honda ที่เชื่อว่าหลายๆคนยังไม่รู้จักมันดีนัก มันถูกผลิตขึ้นในไป 1978 จนถึง 2001 คาบลูกคาบดอกของชาว 90 เพราะต้องบอกว่าเป็นรุ่นที่มีสายการผลิตยาวนานถึง 5 Generation ที่แตกต่างทั้ง แรงม้า ระบบเบรค เครื่องยนต์ รวมไปถึง ฟังค์ชั่นพิเศษอย่างล้อหลังเลี้ยวได้ แต่ในทุกรุ่นถือว่าดีไซน์ลำยุกต์ในสมันนั้นเอามากๆ ทั้งทรงเตี้ย สองประตู ฝาท้ายทรง LiftBack หนุ่มน้อยใหญ่เลยยกใจให้รุ่นนี้ไปเลย
Honda Prelude เป็นรถ Sport Compact ที่เลี้ยงดูง่ายไม่เรื่องมากจุกจิกเหมือนกับรถสปอร์ทอื่นๆ และยังมีราคาที่พอเอื่อมถึงเรียกว่าเป็นรถอมตะที่แทบจะไม่ต้องซื้อไปทำอะไรเพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ความทนทานของรุ่นนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ทำให้ Prelude เป็นที่น่าสนใจในหมู่นักเลงรถ Compact Car
10.Mazda Astina
Mazda Astina แค่พูดชื่อก็ งง กันแล้วใช่ไหมหละครับ ว่าMazda เคยมีรุ่นนี้ด้วยเหรอ? ผมจะแนะนำให้ได้ทราบกันครับ ว่าแรกเริ่มเดิมที Mazda Astina มีรหัสประจำตัวคือ 323F และ 323 Astina และ ยังมีรุ่นที่อ๊อฟชั่นเต็มกว่าชื่อว่า Eunos 100 และเริ่มถูกวางขายที่ญี่ปุ่นในราวๆปี 1989 จนไปถึง 1994 ก่อนจะถูกสานต่อด้วย Mazda Lantis เรียกว่าจุดเด่นของรถ 5 ประตูขนาดเล็กคันนี้คือ ไฟหน้าแบบ POP UP ยอดฮิตในสมัยนั้น “ไฟแบบนี้ รถญี่ปุ่นในสมัยนั้นต้องมี” วางเครื่องยนต์แบบ BPD 4สูบแถวเรียบ 1840 cc. DOHC 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า (DIN) ที่ 6500 รอบต่อนาที ทำแรงบิดสูงสุดได้ถึง 16.6 กิโลกรัมเมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาทีเลยทีเดียว และที่สำคัญ มีแต่รุ่นเกียร์ธรรมดาไว้ให้โลกได้จำเท่านั้น
และนี่ก็เป็น 10 ราย ชื่อรถ 90’s ที่กำลังจะกลับมาเป็นของสะสมของใครหลายๆคนรถทุกคันนั้น ถ้าหากเราดูแลอย่างดี ศึกษาใส่ใจ และเอาใจใส่ดูและเชื่อว่ารถทุกๆคันนั้นมีเสนห์ในตัวเองทั้งนั้นครับ
อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติมได้ที่