สาระน่ารู้ » หัวเทียนเก่า กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น | สัญญาณที่ควรรู้

หัวเทียนเก่า กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น | สัญญาณที่ควรรู้

30 เมษายน 2025
8   0

หัวเทียนเก่า = กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

หลายคนที่ใช้รถยนต์เป็นประจำอาจเคยเจออาการรถ “กำลังตก” “เร่งไม่ขึ้น” หรือ “กินน้ำมันมากผิดปกติ” โดยไม่รู้สาเหตุ
ปัญหาเหล่านี้ อาจไม่ได้มาจากเครื่องยนต์ใหญ่ ๆ อย่างที่คิด แต่อาจเกิดจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ อย่าง “หัวเทียนเก่า” ที่คุณมองข้ามไปก็เป็นได้

หัวเทียนเก่าคืออะไร และมีผลกระทบอย่างไรต่อรถยนต์?

หัวเทียน (Spark Plug) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สร้างประกายไฟจุดระเบิดส่วนผสมของอากาศกับน้ำมันในห้องเผาไหม้
ถ้าหัวเทียนทำงานได้ดี การเผาไหม้ก็สมบูรณ์ รถก็แรง ประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อ “หัวเทียนเก่า” หรือเสื่อมสภาพลง การเผาไหม้จะไม่สมบูรณ์ นำไปสู่อาการที่หลายคนคุ้นเคย เช่น:

  • รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น
  • กำลังเครื่องตก เร่งไม่ขึ้น
  • เดินเบาไม่เรียบ กระตุก หรือเครื่องสั่น
  • มีควันดำ หรือกลิ่นน้ำมันดิบจากไอเสีย
  • เครื่องยนต์สตาร์ทยาก

การปล่อยให้หัวเทียนเสื่อมโดยไม่เปลี่ยน อาจส่งผลเสียลุกลามไปยังระบบเครื่องยนต์อื่น ๆ จนทำให้ค่าซ่อมบำรุงพุ่งสูงโดยไม่จำเป็น

สาเหตุที่หัวเทียนเก่าทำให้ “กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น”

1. ประกายไฟอ่อน ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์

เมื่อหัวเทียนสึกหรอหรือมีคราบเขม่าสะสม การจุดระเบิดจะไม่รุนแรงพอ ทำให้ส่วนผสมอากาศ-น้ำมันเผาไหม้ได้ไม่หมด
ผลลัพธ์คือ กำลังเครื่องตก และรถต้องเผาผลาญน้ำมันมากขึ้น

2. เกิดการจุดระเบิดผิดจังหวะ (Misfire)

หัวเทียนเก่าอาจทำให้เกิดการจุดระเบิดผิดเวลา ทำให้เครื่องยนต์กระตุก หรือเร่งไม่ขึ้นโดยเฉพาะเวลาออกตัวหรือเร่งแซง

3. ระบบเซ็นเซอร์และหัวฉีดได้รับผลกระทบ

การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากหัวเทียนเสื่อมส่งผลให้ไอเสียสกปรก ระบบเซ็นเซอร์วัดออกซิเจน (O2 Sensor) และหัวฉีดน้ำมันสกปรกตามไปด้วย ส่งผลให้รถยิ่งกินน้ำมันและเร่งไม่ขึ้นในระยะยาว

สัญญาณเตือนว่าหัวเทียนเสื่อม ควรรีบตรวจเช็ก

หากรถของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรสงสัยว่าหัวเทียนอาจเสื่อมแล้ว

  • รถสตาร์ทยาก หรือสตาร์ตติดแต่ดับทันที
  • อัตราเร่งแย่ เร่งแล้วรอบเครื่องไม่ขึ้น
  • ความเร็วปลายตก หรือรอบเครื่องสะดุด
  • เสียงเครื่องยนต์เดินไม่เรียบ หรือมีอาการสั่น
  • อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ
  • มีควันไอเสียสีดำ หรือกลิ่นเหม็นไหม้

อย่ารอให้อาการหนักจนกระทบถึงเครื่องยนต์ส่วนอื่น เพราะค่าเปลี่ยนหัวเทียนถูกกว่าค่าเปลี่ยนชุดเครื่องยนต์แน่นอน!

วิธีดูแลและเปลี่ยนหัวเทียนให้เหมาะสม

การดูแลหัวเทียนไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้

1. เปลี่ยนหัวเทียนตามระยะทางที่กำหนด

  • หัวเทียนธรรมดา: เปลี่ยนทุก 30,000 – 50,000 กิโลเมตร
  • หัวเทียน Iridium หรือ Platinum: เปลี่ยนทุก 80,000 – 120,000 กิโลเมตร

2. เลือกหัวเทียนที่ตรงรุ่นและมาตรฐาน

เลือกหัวเทียนให้ตรงกับรุ่นรถของคุณ และเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

3. ตรวจเช็กสภาพหัวเทียนเป็นประจำ

ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหัวเทียนทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือระหว่างการตรวจเช็กระยะ

4. ติดตามสัญญาณเตือนจากรถอย่างใกล้ชิด

หากมีอาการผิดปกติ เช่น เครื่องสั่น กินน้ำมันเยอะ อย่าละเลย ให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็กทันที

เปลี่ยนหัวเทียนแล้ว ได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง?

หลังจากเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ รถของคุณจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทันที

  • อัตราเร่งกลับมาเต็มกำลัง
  • รถประหยัดน้ำมันขึ้น
  • เครื่องยนต์เดินเรียบนิ่ง ไม่มีสั่นสะท้าน
  • ไอเสียสะอาดขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ
  • เพิ่มอายุการใช้งานเครื่องยนต์และระบบหัวฉีด
  •  

สรุป

หัวเทียนเก่า = กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น นี่คือเรื่องจริงที่เจ้าของรถทุกคนควรรู้และระวัง แม้ว่าหัวเทียนจะเป็นอะไหล่เล็ก ๆ และมีราคาถูก แต่บทบาทของมันมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสมรรถนะของรถยนต์