หัวเทียนเก่า = กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม
หลายคนที่ใช้รถยนต์เป็นประจำอาจเคยเจออาการรถ “กำลังตก” “เร่งไม่ขึ้น” หรือ “กินน้ำมันมากผิดปกติ” โดยไม่รู้สาเหตุ
ปัญหาเหล่านี้ อาจไม่ได้มาจากเครื่องยนต์ใหญ่ ๆ อย่างที่คิด แต่อาจเกิดจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ อย่าง “หัวเทียนเก่า” ที่คุณมองข้ามไปก็เป็นได้
หัวเทียนเก่าคืออะไร และมีผลกระทบอย่างไรต่อรถยนต์?
หัวเทียน (Spark Plug) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่สร้างประกายไฟจุดระเบิดส่วนผสมของอากาศกับน้ำมันในห้องเผาไหม้
ถ้าหัวเทียนทำงานได้ดี การเผาไหม้ก็สมบูรณ์ รถก็แรง ประหยัดน้ำมัน แต่เมื่อ “หัวเทียนเก่า” หรือเสื่อมสภาพลง การเผาไหม้จะไม่สมบูรณ์ นำไปสู่อาการที่หลายคนคุ้นเคย เช่น:
- รถกินน้ำมันเพิ่มขึ้น
- กำลังเครื่องตก เร่งไม่ขึ้น
- เดินเบาไม่เรียบ กระตุก หรือเครื่องสั่น
- มีควันดำ หรือกลิ่นน้ำมันดิบจากไอเสีย
- เครื่องยนต์สตาร์ทยาก
การปล่อยให้หัวเทียนเสื่อมโดยไม่เปลี่ยน อาจส่งผลเสียลุกลามไปยังระบบเครื่องยนต์อื่น ๆ จนทำให้ค่าซ่อมบำรุงพุ่งสูงโดยไม่จำเป็น
สาเหตุที่หัวเทียนเก่าทำให้ “กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น”
1. ประกายไฟอ่อน ทำให้การเผาไหม้ไม่สมบูรณ์
เมื่อหัวเทียนสึกหรอหรือมีคราบเขม่าสะสม การจุดระเบิดจะไม่รุนแรงพอ ทำให้ส่วนผสมอากาศ-น้ำมันเผาไหม้ได้ไม่หมด
ผลลัพธ์คือ กำลังเครื่องตก และรถต้องเผาผลาญน้ำมันมากขึ้น
2. เกิดการจุดระเบิดผิดจังหวะ (Misfire)
หัวเทียนเก่าอาจทำให้เกิดการจุดระเบิดผิดเวลา ทำให้เครื่องยนต์กระตุก หรือเร่งไม่ขึ้นโดยเฉพาะเวลาออกตัวหรือเร่งแซง
3. ระบบเซ็นเซอร์และหัวฉีดได้รับผลกระทบ
การเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์จากหัวเทียนเสื่อมส่งผลให้ไอเสียสกปรก ระบบเซ็นเซอร์วัดออกซิเจน (O2 Sensor) และหัวฉีดน้ำมันสกปรกตามไปด้วย ส่งผลให้รถยิ่งกินน้ำมันและเร่งไม่ขึ้นในระยะยาว
สัญญาณเตือนว่าหัวเทียนเสื่อม ควรรีบตรวจเช็ก
หากรถของคุณมีอาการเหล่านี้ ควรสงสัยว่าหัวเทียนอาจเสื่อมแล้ว
- รถสตาร์ทยาก หรือสตาร์ตติดแต่ดับทันที
- อัตราเร่งแย่ เร่งแล้วรอบเครื่องไม่ขึ้น
- ความเร็วปลายตก หรือรอบเครื่องสะดุด
- เสียงเครื่องยนต์เดินไม่เรียบ หรือมีอาการสั่น
- อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ
- มีควันไอเสียสีดำ หรือกลิ่นเหม็นไหม้
อย่ารอให้อาการหนักจนกระทบถึงเครื่องยนต์ส่วนอื่น เพราะค่าเปลี่ยนหัวเทียนถูกกว่าค่าเปลี่ยนชุดเครื่องยนต์แน่นอน!
วิธีดูแลและเปลี่ยนหัวเทียนให้เหมาะสม
การดูแลหัวเทียนไม่ใช่เรื่องยาก แค่ทำตามขั้นตอนเหล่านี้
1. เปลี่ยนหัวเทียนตามระยะทางที่กำหนด
- หัวเทียนธรรมดา: เปลี่ยนทุก 30,000 – 50,000 กิโลเมตร
- หัวเทียน Iridium หรือ Platinum: เปลี่ยนทุก 80,000 – 120,000 กิโลเมตร
2. เลือกหัวเทียนที่ตรงรุ่นและมาตรฐาน
เลือกหัวเทียนให้ตรงกับรุ่นรถของคุณ และเลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
3. ตรวจเช็กสภาพหัวเทียนเป็นประจำ
ควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบหัวเทียนทุกครั้งที่เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือระหว่างการตรวจเช็กระยะ
4. ติดตามสัญญาณเตือนจากรถอย่างใกล้ชิด
หากมีอาการผิดปกติ เช่น เครื่องสั่น กินน้ำมันเยอะ อย่าละเลย ให้รีบนำรถเข้าตรวจเช็กทันที
เปลี่ยนหัวเทียนแล้ว ได้ผลลัพธ์อะไรบ้าง?
หลังจากเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ รถของคุณจะสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทันที
- อัตราเร่งกลับมาเต็มกำลัง
- รถประหยัดน้ำมันขึ้น
- เครื่องยนต์เดินเรียบนิ่ง ไม่มีสั่นสะท้าน
- ไอเสียสะอาดขึ้น ลดการปล่อยมลพิษ
- เพิ่มอายุการใช้งานเครื่องยนต์และระบบหัวฉีด
สรุป
หัวเทียนเก่า = กินน้ำมัน กำลังตก เร่งไม่ขึ้น นี่คือเรื่องจริงที่เจ้าของรถทุกคนควรรู้และระวัง แม้ว่าหัวเทียนจะเป็นอะไหล่เล็ก ๆ และมีราคาถูก แต่บทบาทของมันมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาสมรรถนะของรถยนต์