สาระน่ารู้ » 9 รถสะสมของชาว JDM 90’s ที่คาดว่าราคาขึ้นงบไม่เกิน 1 ล้าน ในปี 2023 มีรุ่นไหนบ้าง?

9 รถสะสมของชาว JDM 90’s ที่คาดว่าราคาขึ้นงบไม่เกิน 1 ล้าน ในปี 2023 มีรุ่นไหนบ้าง?

3 มิถุนายน 2023
5037   0

รถสะสม 90’s ที่คาดว่าราคาขึ้นในงบไม่เกิน 1 ล้าน มีรุ่นไหนบ้าง?
ช่วงกระแสรถไฟฟ้ากำลังมาแต่เหล่าลัทธิอนุรักษ์นิยม ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับรถที่มีมูลค่าไม่สูงมาก แต่ก็สามารถทำกำไร หรือ มูลค่าเพิ่มได้ตามกาลเวลา และความหายากที่กำลังมากขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รถเก่าเก็บเหล่านี้มีราคาต่อรองตามความพอใจ และถ้าหากว่าสภาพเหมือนกับวันแรกที่ออกจากโชว์รูมราคาน้ำลายก็ยิ่งสูงลิบลิ่วเผลอๆอาจจะสูงกว่าราคาวันที่ออกโชว์รูมซะอีก วันนี้ลองมาดูกันครับว่ารถสะสม 90’s ที่มีราคาไม่ถึงล้านมีรุ่นไหนกันบ้างลองมาดูครับ


1. Toyota MR-2 (ZW20)


เรียกว่าประวัติ คู่ตำนานที่เป็นอมตะ ดีไซน์เหมือนหยุดเวลายุคสมัยให้ชาว 90’s ได้รำลึกถึงความหลัง ด้วยดีไซน์ที่ล้ำสมัยขับในยุคนี้ก็ไม่เขินอายแต่อย่างไร เพราะสำหรับรถรุ่นนี้ ถือกำเนิดในปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา และสิ้นสุดในปี 1999 และเป็นเครื่องวางกลางขับเคลื่อนลงล้อหลังคันแรกที่ญี่ปุ่นเคยมีมา ภายในรหัส MR-2 ย่อมาจาก Mid-Ship Run About 2 Seater หรือ Mid Engine Rear Wheel Drive 2 Seater โดยแนวคิดในยุคแรกนั้นออกแบบให้เป็นรถที่มีสมรรถนะที่ขับสนุก ประหยัดน้ำมันมากๆ โดยเริ่มถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 1979 ซึ่งรถต้นแบบแรกนั้นใช้รหัส SV-3 เริ่มเปิดตัวในเดือน ตุลาคมปี 1983 ภายในงาน Tokyo Motor Show มาพร้อมเครื่องยนต์ รหัส 3S-GE 2.0L ที่สร้างพละกำลังถึง 165 แรงม้า ทั้งเกียร์ธรรมดาและออโต้ ถึงอย่างไร เหล่าเกียร์ออโต้ถึงจะเป็นตัวท๊อปสุดของยุคนั้น แต่ที่หายากก็คงไม่พ้นเจ้า เกียร์ธรรมดาสภาพดีที่เป็น Signature ของเหล่า 90’s และเป็นกระจกไฟฟ้า และ เครื่องอีกหนึ่งรุ่นจะประจำการในตัว GT-S และเครื่องยนต์ 3S-GTE 2.0 เทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 221 แรงม้า แต่จะเป็นรุ่นที่ มีแค่ เกียร์ธรรมดาเท่านั้น โดยจะมีออพชั่นเท่ากับ G-Limited เท่านั้น
ซึ่งปัจจุบันราคาที่หาได้จะอยู่ 4.7 แสน จนไปถึงราคา 9 แสน แล้วแต่รุ่นแล้วแต่สภาพ


2. Toyota Celica TA180 : 1989-1993 ST185


Toyota สร้างตำนานออกมาหลายๆรุ่น แต่มีอยู่รุ่นหนึ่งที่อาจจะถูกลืม ซึ่งต้นตระกูลนั้นมีประวัติถือกำเนิดยาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งถูกสร้างมาเพื่อชาวขาซิ่งในยุคนั้นๆ แต่กลับกลายมาเป็นรุ่น G4 ซะนี่ที่ปัจจุบันกลับมาตามหากันและประสบความสำเร็จในวงการ แรลลี่โลก (ซะงั้น) ซึ่งตอนแรกเอาใจขาซิ่งแต่ชนะงาน WRC ในประเภทนักขับ 3 ครั้ง แต่ 2 ทีมผู้ผลิต ที่นำเอา G4 และ G5 มาตีคู่ ในช่วงปี 1992 จนไปถึง 1994 ในรุ่น ได้รับรางวัล WRC Drivers ‘Championship ในปี 1992 และ WRC Manufacturers’ and Drivers ‘Championships และสุดท้ายก็ต้องตามน้ำด้วยการ ผลิตแบบขับเคลื่อน 4 ล้อหรือเรียกกันว่า GT-Four แต่ขอย้อนกลับไปในรุ่น G4 ที่เป็นรุ่นที่ยอดฮิตกว่า G5 (อ่าวไหงเป็นงั้น) จุดเด่นของรุ่นนี้คือ ไฟ Pop-up ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนยุคนั้น และดีไซน์ที่สามารถมองได้ถึง 2 อารมณ์และโดยเฉพาะรุ่น ST185 จะเป็นรุ่นขับ 4 ล้อ ที่ประจำการด้วยเครื่อง 3S-GTE Turbo 185 GT มีระบบอินเตอร์คูลเลอร์ ระบายความร้อน ให้กำลังเต็มๆ 224 แรงม้า และขับเคลื่อนผ่านเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป ลง 4 ล้อ

ซึ่งปัจจุบันราคาที่หาได้อยู่ราวๆ 2 แสนต้นๆ จนไปถึง 4 แสนแล้วแต่ความสมบูรณ์ของรถเลยครับ


3. Honda Prelude Generation 4

Honda เป็นแบรนด์ที่ไม่ว่าจะออกรุ่นไหนก็สร้างตำนานให้เป็นที่เลื่องลือได้ทุกรุ่น แต่ในรุ่นนั้นจะมีอยู่ 1 Generation ที่เป็นดาวเด่นที่ดีที่สุดของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสะสมนั่นก็คือ Generation ที่ 4 ซึ่งเป็น Sport Compact Car ที่เริ่มมาใช้เป็นเครื่องยนต์รหัส VTEC หัวฉีด 2.0 ลิตร 133 แรงม้า แต่ก็ยังมีอีก แต่ก็ยังมีรุ่นที่เป็นเครื่องคาบูเรเตอร์ แบบ 2.2 ลิตร 135 แรงม้า เครื่องยนต์หัวฉีดธรรมดา 2.3 ลิตร 160 และหัวฉีดแบบ VTEC 2.2 (H22A) ลิตร 200 แรงม้า VTi-R หรือ Si-VTEC นั่นเอง ซึ่งจุดขายมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น (อ่าว) แต่มันกลับได้รับความนิยมจากอ๊อพชั่นที่มีมาให้ต่างหาก ซึ่งมีทั้งซันรูฟ ครูซคอนโล (ล๊อคความเร็วอัตโนมัติ) ระบบ ABS ระบบกันสะเทือนแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ และพระเอกของงานนี้คือ ระบบเลี้ยว 4 ล้อ ทำให้สามารถเลี้ยวในวงแคบทำให้มีความคล่องตัวสูงกว่ารถในระดับเดียวกัน และสามารถวิ่งได้เร็วสุดถึง 197 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าซิ่งเอามากในสมัยนั้น
ซึ่งสนนราคาทที่สามารถหาได้ อยู่ที่ 2 แสนต้นๆ จนไปถึง 4 แสนปลายๆ แล้วแต่สภาพและความเดิมๆ



4.Toyota MR-S (ZW30)

เป็น Sport Roadster อีกหนึ่งรุ่นของ Toyota ที่พัฒนาเครื่องวางกลางต่อจาก MR-2 (ZW20) แต่มีลักษณะตัวถังที่เล็กกว่ามีช่วงที่สั้นกว่า แต่สามารถโดยใน Generation นี้ ก็ถือว่ามีการประสบความสำเร็จอยู่พอสมควร และมีความจัดจ้านทางด้านการออกบบสุดๆในบรรดา 3 รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งจะมีทั้งหลังคาแบบแข็งและแบบผ้าใบ เริ่มต้นการผลิตตั้งแต่ 1999 จนไปถึง ปี 2007 ก็หยุดสายพานกานผลิตลง ซึ่งเป็นรถที่ออกมาตอบโจทย์ของคนที่อยากได้ฟิลลิงแบบ Porsche ในรถ ญี่ปุ่น

เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร ใช้รหัส 1ZZ-FE กับเกียร์แบบ Semi Auto 5 Speed ปรับมือ และในรุ่น ปี 2002 จนถึง 2007 ก็เป็นเกียร์ Semi Auto 6 Speed (ซึ่งไม่ค่อยจะเป็นี่นิยมเท่าไหร่นัก) รุ่นย่อย B Edition , S Edition , V Edition ยังเป็นรถที่นิยมในหมู่ stylish parts เยอะพอสมควร ของแต่งเยอะ แต่ก็ไม่แนะนำให้มีการปรับแต่งใดๆ เพื่อรักษาในเรื่องของสภาพและราคา และสูญเสียในเรื่องของ Aero Dynamics ไปอีกด้วย แต่ถ้าจะหาความแรงจากรุ่นนี้ อย่าหวังเลยครับ เพราะได้มาแต่ 140 ตัวเท่านั้น แต่ก็เพียงพอกับชีวิตประจำวัน Interior ภายในอาจจะไม่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ จะนำไปขับแบบ Daly Used เพราะด้วยการดีไซน์โครงสร้างที่เตี้ยสั้น ช่องเก็บของน้อยมากๆ และความแคบทำให้เป็นรถที่เหมาะกับการขับเล่นซะมากกว่า
ตลาดมือสองเริ่มต้นที่ 650,000 -900,000 บาทเลยทีเดียว



5. Mitsubishi Evolution IX

Mitsubishi EVOLUTION ถือว่าเป็นอีก 1 ตำนานปีศาจญี่ปุ่นอันเลื่องชื่อ เพราะมีวีรกรรมอันมากมายให้ได้เล่าทั้งวันก็ไม่จบ ทั้งฉายานักเลง 3 เกียร์ จรวดทางเรียบ หรือ Godzila Killer ที่เป็นฉายาฆาตกรฆ่า GTR และ Skyline แบบไม่เห็นฝุ่น จึงทำให้เกิดหมั่นใส้ให้กับหลายๆสำนักศัตรูเต็มบ้านเต็มเมือง เริ่มตั้งแต่ ปี 1991 ที่ได้เปิดตัว EVO III หรือ e-Car ที่ปรับปรุงสร้างโครงสร้างให้แข็งแกร่งขึ้น จาก Lancer เสริมความแรงด้วยเครื่องสูตร 4G-63 4 สูบ 2.0 ลิตร รีดพละกำลังได้ 250 แรงม้า อัตรา 0-100 ภายใน 5.1 วินาทีถือว่าโหดขิงเอาเรื่องในยุคนั้น

และก็ได้ถือกำเนิดอีกหลายๆรุ่นตามมาตั้งแต่ EVO II ในปี 1994, EVO III , ในปี 1995 EVO IV, ในปี 1996 EVO V, ในปี1998 EVO VI, ในปี 1999 EVO VII, ในปี 2001 EVO VIII, 2003 EVO IX, ในปี 2005 จนมาจบที่ EVO X ในปี 2016 และเว้นว่างๆสร้างข่าวคลุมเคลือว่าจะออกเวอร์ชั่น EVO XI แต่ก็เห็นแต่กราฟฟิกส์ และ Phototype ให้หนุ่มๆนั่งตั้งตารอรองไห้ไปตามกัน แต่แน่นอนว่า เมื่อไม่เกิดดาวดวงใหม่ แต่กลับได้ดาวเด่นของรุ่นนี้นั้นก็คือ EVO IX มาแทนที่เหตุผลก็คือ จุดสูงสุดของ 4G-63 ก่อนที่จะมาเป็น 4B11T ใน EVO X นั่นเอง

ในปัจจุบัน EVO IX บางคันนั้นมีราคาแตะ 1 ล้านไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยังสามารถหาในราคา 9.4 แสน มาถือไว้ในมือได้อยู่ แต่ถ้าหากหาสภาพเดิมๆ รับประกันว่า ต่ำกว่าล้าน ไม่มีแน่นอนครับ
ราคาหาได้ต่ำสุดตอนนี้ อยู่ราวๆ 9.4 แสนบาท เลยทีเดียว


6. Honda Civic Type R EK9 เริ่มต้นที่ ปี 1997


รถ 3 ประตูที่นานๆทีในประเทศไทยจะเห็นวิ่งเล่นบนท้องถนน ตัวเล็กเครื่องแรงโลโก้ H แดง นามว่า Civic EK9 เป็น Type R รุ่นแรกของตระกูล โดยเริ่มต้นผลิตรุ่นแรกในปี 1997 มาพร้อมกับชุด Aero Part แบบ Light Weight ภายในเป็นเบาะแดงเครื่องยนต์ฝาแดงตัวแรงในโมเดลนี้จะมีสองรุ่น คือ B16B VTEC ฝาแดงไร้ระบบอัดอากาศ ใช้ระบบเกียร์ 5 สปีด ได้เพิ่มอัตราทดใหม่ให้มี Final Drive และ RED Line สูงขึ้นพร้อมเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป เรียกแรงม้าได้สูงถึง 183 แรงม้า 8200 รอบต่อนาทีทำให้ RED Line สูงถึง 9,000 รอบต่อนาที สามารถทำ TopSpeed ได้สูงสุดถึง 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 0-100 ภายในแค่ 6.7 วินาที ในสมัยนั้นถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว มาพร้อมกับชุดแอโร่พาร์ที่ดีไซน์ขึ้นมาใหม่ต่างจากรุ่นเดิมๆ โดยสืบสานความเป็นตระกูล Type R แบบเต็มตัวตั้งแต่รุ่นแรก ซึ่งถถ้าจะให้พูดถึงความสมบูรณ์จริงๆ ก็ต้องเป็นเบาะแดง Alcantara (ถ้าไม่ขายกินซะก่อน) และถ้าหากว่าคุณสนใจจะหารุ่นนี้จริงๆก็ต้องระวัง EK9 ที่เป็นรถใส่ของแต่งย้ายของ อาจจะทำให้เสียความรู้สึกกันไปเลย

ราคาตอนนี้ อยู่ที่ บาท จนไปถึง 990,000 จนไปถึงหลักล้านบาท ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์และประวัตินำเข้า


7. Nissan Silvia S14 ปี 1996 -1998


เรียกว่าเป็นรถสปอร์ต JDM สายยุ่นที่วัยรุ่น 90’s นิยมกันเพราะมันคือตำนานที่ยังหายใจกับเครื่อง SR20DET ที่เหล่าบรรดานักซิ่งรถศูนย์ถ่วงเตี้ย ควักหัวใจเอาไปประดับเล่นใน Cefiro นอกจากหน้าตาเครื่องรุ่่นนี้จะดูโหดร้ายป่าเถื่อนแต่ก็มีแรงม้าถึง 205 Hp โดยมันถูกติดตั้งด้วยเทอร์โบ GARETT T25 แล้วตั้งบูสต์ไว้ที่ 7 psi (รถจากศูนย์หรือจากสำนักแต่ง?) เรียกว่าหน้าตาอันทันสมัย และความแรงที่ซ่อนเอาไว้ ทำให้รุ่นนี้ยังไม่ตกยุคไปง่ายๆ สุดท้ายเป็นรถขับหลังที่ได้ประกาศปิดไลน์การผลิตไปในปี 2002 ทิ้งไว้ให้รุ่นน้องอย่าง Silvia S15 ได้เฉิดฉายต่อถือว่าเป็นช่วงเวลาเฉิดฉายอันสั้นของเจ้าฉลามน้อยสายซิ่งวิ่งลุยตัวนี้นั้นเอง
ปัจจุบันราคาค่าตัวที่หาได้อยู่ราวๆ 800,000 จนไปถึง ล้านกว่าๆ แล้วแต่สภาพและความสมบูรณ์


8. Honda Civic 3d EG 1993


ตำนานที่มีค่าตัวผันผวนที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต้องยกให้เขาเลย กับ Honda Civic 3d เจ้าเตี้ยแห่งวงการสาย H ถ้าจะให้เริ่มต้นพูดถึงค่าตัว ก็เอาเซียนๆปวดหัวไปตามๆกัน เพราะนอกจากจะไม่มีความตายตัวแล้ว ราคาขึ้นอยู่กับความรักความผูกพันของเจ้าของอีกด้วย (นั่นแหละราคาผันผวน) ซึ่งถ้ากล่าวเล่าขานถึงตำนานเจ้าเตี้ยศูนย์ถ่วงต่ำก็ทำให้คิดถึงฉากในหนังแต่เอามันไปมุดใต้รถสิบล้อ แบบหล่อๆจนทำให้หลายคนอยากมีโมเมนท์เทห์ๆแบบนั้น (แต่นั้นมันคือตัว 4 ประตู) ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในสมัย 1992 Honda Civic 3d EG เป็นรถที่มียอดจองสูงลิ่วในยุคนั้น ซึ่งมีค่าตัว 1.5 ลิตร 91 แรงม้า และมีเกียร์อัตโนมัติรุ่น EX
เรียกว่าสภาพที่เหลือจะมีแต่พวกแต่งหล่อเหลาเอาใจวัยรุ่นซะมากกว่า ทำให้ราคาตกไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าหากว่าใครมีคงสภาพเหมือนวันแรกที่ออกจากโชว์รูม ก็สามารถเรียกค่าตัวได้สูงลิ่วเลยทีเดียว
ปัจจุบันราคาอยู่ราวๆ 140,000 บาท จนไปถึงหลัก 450,000 บาทเลยทีเดียว


9. Nissan 180SX 1989 – 1996


สปอร์ท Roadster ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 1989 โดยเปิดตัวออกมาเพียงแค่ 3 รุ่นเท่านั้น โดยใช้ชือว่า Type I และ Type II ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าออกมาเชือดเฉือนในตลาดรถเลี้ยว 4 ล้อ อย่าง Honda Prelude Generation 4 โดยความนิยมสุงสุดจะอยู่ในโฉมตัว Type S ที่ไม่มีตัวบังคับเลี้ยว 4 ล้อ และตัว G ของโฉมที่ 3 ซึ่ง Type G จะเป็นรถที่มีระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบเข้ามาเพิ่มเติม และเป็นรถที่ใช้ระบบช่วงล่างแพทฟอร์มเดียวกันกับ Nissan Silvia และสุดท้าย Nissan 180SX ก็ปิดสวิทช์สายพานการผลิตในปี 1998 และหมดยุคของรหัส 180SX นั่นเอง
ปัจจุบันราคาสภาพเดิมนั้นก็หนักไม่ใช่เล่น เพราะด้วยความหายาก และยังเป็นรถที่ถูกนำไปดัดแปลงเพื่อใช้ในการแข่งขันต่างๆ เพราะเป็นรถที่มีศูนย์ถ่วงต่ำ จึงเป็นที่หมายตาของเหล่าบรรดานักดริฟต์ เล่นเอาซะแทบศูนย์พันธุ์เลยทีเดียว ฉะนั้นหากใครมีครอบครองไว้ รับประกันว่าราคาขึ้นตามใจเจ้าของแน่นอนครับ
ปัจจุบันราคามือสองที่ยังหาได้อยู่ราวๆ 450,000 จนไปถึง 900,000 บาทเลยทีเดียว

อ่านสาระน่ารู้รถยนต์เพิ่มเติม