ทุกวันนี้การเลือกซื้อรถยนต์ซักคัน ก็จะต้องมองหลายๆมุมหลายๆด้านเพราะบริษัทผลิตรถยนต์มีมากมายจนสามารถเลือกทั้งอ๊อฟชั่น ความคุ้มค่าในเรื่องของราคา คุณภาพ การบริการ และรวมไปถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น หากคุณมีเงินจำนวนหนึ่งการเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ประกอบกับความชอบส่วนตัวนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญ
ต้องยอบรับว่า ในปัจจุบัน รถยุโรปเองก็มีก็มีราคาที่ถูกลงกว่าเดิมมาก ส่วนสำคัญนี้ก็มาจากการแข่งขันภายในประเทศรวมทั้งมาตราการเกี่ยวกับภาษีที่เกี่ยวกับในเรื่องมลพิษและการ ปล่อยไอเสียจึงเข้าทางแนวการพัฒนารถยุโรปอย่างพอดิบพอดี
สมมุติว่าคุณมีเงินจำนวน 2 ล้านบาท และต้องการซื้อรถเพื่อใช้งานซักคันคุณอาจจะเริ่มมองรถยุโรป เนื่องจากคุณมีความเชื่อในเรื่องของคุณภาพและค่านิยม นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดหากคุณลืมคิดในข้อที่ผมจะกล่าวถึงว่าไม่ใช่แค่ซื้อรถยนต์แล้วค่าใช้จ่ายคุณจะจบ แต่มันรวมไปถึงปัจจัยอื่นที่วันนี้ผมจะบอกคุณว่าทำไม รถญี่ปุ่น ถึงน่าซื้อกว่ารถ ยุโรป
1.ได้รถขนาดใหญ่กว่าในราคาที่เท่ากัน
หากคุณกำลังมองรถที่มี ซีรี่สูงหรือ มีขนาดที่ใหญ่ รถญี่ปุ่นเองก็ตอบโจทย์ในเรื่องของความคุ้มค่าและราคา เพราะถ้าหากในราคา 2 ล้านบาท อาจจะได้รถที่ท๊อปสุดของรุ่นนั้น แต่ถ้าหากเมื่อเทียบกับรถยุโรปคุณอาจจะได้รถที่มีขนาดเล็กกว่า และ เป็นเพียงแค่ตัวเริ่มต้นของยี่ห้อนั้นๆอีกด้วย
2.ค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ รถยุโรปสูงกว่ารถญี่ปุ่น
ค่าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ในที่นี้คือการเสียค่าใช้จ่ายไปกับเรื่องสิ้นเปลือง เพราะรถยุโรปทักจะทำอะไรพรีเมี่ยมๆให้เราเสียตังแพงกว่ารถญี่ปุ่นเสมอๆ เช่นการจอดรถในที่พิเศษ การทำสี หรือการบำรุงความสวยงามก็จะแพงกว่ารถททั่วๆไป สิ่งเหล่านี้ มักจะเป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
3.ค่าซ่อมบำรุงถูกกว่ารถยุโรป
จะซื้อรถซักคันก็ต้องคิดถึงการซ่อมบำรุงในอนาคตด้วย เพราะการใช้งานรถยนต์ในทุกๆวันก็จะต้องเจอกับค่าเสื่อมสภาพต่างๆ ตามระยะทาง และเรื่องค่าบำรุงรักษานี่แหละ ที่เป็นเหตุปัจจัยในอนาคตที่คนส่วนใหญ่มักจะกุมขมับ เพราะการบำรุงงรักษารถยุโรปจะสูงกว่ารถญี่ปุ่นอีกทั้งบางงครั้งอาจจะต้องรออะไหล่นานกว่ารถญี่ปุ่นอีกด้วย
4.รถยุโรปขายต่อราคาตกกว่ารถญี่ปุ่น
เมื่อนานไปแล้วหากคุณต้องการจะขายรถต่อ หากรถมีอายุมากกว่า 6-7 ปี เป็นเรื่องธรรมดาที่ราคาของรถยุโรปก็จะถูกกว่าอย่างน่าใจหายเพราะอันที่จริงแล้ว ผู้ใช้รถยุโรปจะใช้รถเพียงแค่ 5 ปี ก็จะเทรินขายไปก่อนเพราะมันจะหมดระยะประกันคุณภาพของตัวรถกับบริษัทผู้ผลิต เพื่อที่ละหลีกเลี่ยงการซ่อมนั่นเอง
แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้รถญี่ปุ่น จะไม่ค่อยประสบกับปัญหานี้เท่าไหร่นัก เพราะเทคโนโลยีหลายๆส่วนของรถญี่ปุ่นจะไม่มีความซับซ้อนแบบรถแบรนด์เยอรมัน ถึงจะเป็นรถที่ใช้พลังงานลูกผสมก็ตามแต่ แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมที่ถูกกว่ารถ ยุโรป อยู่ดี จึงทำให้ รถยุโรปนั้นราคาตกกว่ารถญี่ปุ่นไปมากเลยทีเดียว
5.รถยุโรปมีศูนย์บริการที่น้อยกว่า
ปัญหาเรื่องศูนย์บริการและค่าบริการต่างๆ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนใช้รถมากๆ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่พบปัญหาในรถยนต์ที่คุณใช้บ่อยๆ เพราะการจะวิ่งเข้าหาศูนย์บริการใกล้บ้านซักแห่งอาจจะทำได้ยาก หรือถ้าหากรถคุณเกิดเสียหายหนักถึงขั้นไม่สามารถขับได้ ระยะทางในการเคลื่อนย้ายก็จะกลายเป็นเม็ดเงินที่คุณต้องเสียอีกส่วนหนึ่งด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นประสปการณ์จากผู้ที่เคยซื้อรถยุโรปมาใช้ แล้วพบกับปัญหาต่างๆ ทางแอดมินก็ได้นำมาแชร์กันนะครับ หากต้องการรถมือสองสภาพดี หรือ ต้องการซื้อรถพร้อมบริการดูหลังการขายอย่างเป็นมืออาชีพ สามารถเข้ามาดูได้ที่ โชว์รูมรถมือสองกฤษฎากู๊ดคาร์ ครับ