สาระน่ารู้ » วิธีดูก่อนเลือกซื้อรถมือสอง อยากได้รถสภาพดีควรตรวจอะไรบ้าง

วิธีดูก่อนเลือกซื้อรถมือสอง อยากได้รถสภาพดีควรตรวจอะไรบ้าง

23 พฤศจิกายน 2020
1126   0

สิ่งที่ควรตรวจก่อนซื้อรถมือสอง หลายๆคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับมันดี หากต้องการให้รถมือสองของคุณที่เพิ่งออกมาจากเต็นท์ สมบูรณ์ที่สุดก่อนจะนำไปใช้งาน
โดยมากแล้วเต็นท์รถมือสองขนาดใหญ่ก็จะมีบริการตรวจสภาพและเปลี่ยนถ่ายต่างๆก่อนที่ลูกค้าได้ออกรถไปแล้วจึงทำให้รถในเต็นท์ใหญ่ๆนั้นมีราคาสูงกว่าตลาดเล็กๆน้อยๆ แต่ถ้าหากว่าคุณเป็นคนนึงที่ต้องการประหยัดเม็ดเงินจึงเลือกซื้อรถมือสองในกลุ่มตลาดเล็กๆซึ่งไม่มีการดูแลหลังการขาย ฉะนั้นจึงมีคำถามว่า “แล้วเราควรจะเริ่มต้นจากการดูส่วนไหนก่อนดีหละ?” วันนี้แอดมินจะมาแนะนำครับว่าการจะซื้อรถมือสองให้ดีซักหนึ่งคันควรเริ่มดูจากอะไรก่อน

1.ศึกษาที่ตัวรถก่อนเลือกซื้อ

เริ่มต้นจากการหาเพลทของรถยนต์ก่อนเลย โดยมาเพลทรถยนต์จะอยู่ในโซนของกระโปรงหน้าฉะนั้นถ้าหากรถคันไหนไม่มีเพลทของรถให้สันนิษฐานว่า เคยเฉี่ยวชนไว้ก่อนเลยครับเพราะเพลทของรถนั้นไม่หลุดหายกันง่ายๆ หรือถ้าเป็นรถรุ่นใหม่ๆจะเป็นสติ๊กเกอร์จะอยู่ที่ข้างประตู เพลทของรถยนต์นั้นปรียบเสมือนกับบัตรประชาชนของคนนั้นแหละครับถ้าหากว่ารถคันนั้นไม่มีเพลทก็เท่ากับว่าเป็นรถเถื่อนราคาตกนั่นแหละครับ

2.ดูสภาพของของเหลวต่างๆ


ว่าทางเต็นท์ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้หรือไม่ แนะนำว่าระยะตัวเลขของป้ายน้ำมันเครื่องจะต้องเปลี่ยนถ่ายให้ใกล้เคียงกับเลขไมล์รถมากที่สุดก็บ่งบอกว่าทางเต็นท์พึ่งจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้ แต่ถ้าหากว่าระยะของเลขไมล์นั้นห่างจากตัวเลขในป้ายน้ำมันเครื่องถึงจะยังไม่ถึงระยะเปลี่ยนก็แนะนำให้เปลี่ยนใหม่เลยจะดีกว่าครับ หรือจะสังเกตุจากสีน้ำมันเครื่องจากสายวัดถ้าหากเป็นสีเหลืองใสๆ ก็เท่ากับว่าทางเต็นท์เปลี่ยนมาให้ แต่ถ้าเป็นสีน้ำตาลเข้มเพราะถึงแม้น้ำมันเครื่องยังไม่ถึงอายุแต่รถทีคุณซื้อมาอาจจะถูกจอดในเต็นท์มาเป็นระยะเวลานานๆทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได

3.ตรวจสภาพความเรียบร้อยภายในห้องเครื่อง

อุปกรณ์ต่างๆภายในห้องเครื่องนั้นเป็นสิ่งสำคัญในระยะยาวหากคุณไม่ตรวจภายภาคหน้าอาจจะเป็นปัญหาไม่รู้จบตามมา ฉะนั้นเริ่มจากการตรวจสอบสภาพของสายพานก่อนเลยครับ ว่ามีการยุ่ยหรือฉีกขาดหรือไม่ กรองน้ำมันเครื่องก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญ ตรวจดูว่ามีสนิมที่กระปุกหรือมีการรั่วซึมที่เกลียวกระปุกหรือไม่ถ้าหากมีก็เปลี่ยนเลยครับ สังเกตุอาการของเครื่องว่ามีการเดินสะดุดหรือไม่ ถ้าหากมีอาการรอบตกหรือเครื่องสะดุด ให้เช็คระบบหัวเทียนหรือหัวฉีดเพราะระบบการเผาไหมไม่เต็มระบบก็จะทำให้เครื่องยนต์เสียกำลัง โดยปกติแล้วหัวฉีดหรือหัวเทียนจะมีระยะการใช้งานที่ 80,000 ถึง 100,000 กิโลเมตรครับ

4.ตรวจสภาพของช่วงล่าง

เป็นอีกหนึ่งจุดที่สำคัญคือช่วงล่างของรถเพราะเป็นปัญหาที่ไม่รู้จบและมีราคาแพงสุดๆ อีกหนึ่งส่วนเลยก็ว่าได้ โดยพื้นฐาน

  • สังเกตุว่าช่วงล่างนั้นเป็นสนิมหรือไม่ถ้ามีก็แนะนำว่าให้นำรถเข้าพ่นกันสนิมเพื่อความสมบูรณ์ในระยะยาว แต่ถ้าหากมีสนิมกินถึงตัวถังด้านในสันนิษฐานเลยครับว่ารถน่าจะเคยแช่น้ำท่วมมาก่อน
  • สังเกตุว่าช่วงล่างของรถมีสภาพดีหรือไม่ก็จะต้องลองขับดูครับว่าเมื่อขับแล้วมีอาการร่อนของช่วงล่างมีอาการสั่นที่พวงมาลัยอันเกิดจากการไม่ได้ศูนย์ถ่วงของล้อหรือไม่
  • สังเกตุความสมบูรณ์ของดอกยางสังเกตุจากปียางเป็นอันดับแรก โดยสามารถดูได้จากขอบแก้มของยางจะมีตัวเลขบอก เช่น 4418 นั่นก็หมายความว่า สัปดาห์ที่ 44 ของ ปี 2018 นั่นเอง

5.ตรวจสภาพภายนอกรถ

การตรวจสภาพภายนอกรถหลายๆคนอาจจะมองว่ายากมากๆสำหรับการจับผิดของตัวรถ แต่ถ้าหากรู้หลักแล้วก็ไม่ยากอย่างที่คิดเริ่มต้นจากการนำรถเข้าร้านอัดฉีดแรงดันสูง ซึ่งในส่วนนี้จะบอกได้เป็นอย่างดีว่าซีนยางต่างๆของรถที่คุณจะซื้อมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าหากมีน้ำซึมหรือเข้าภายในห้องโดยสารก็ไม่ควรซื้อนะครับเพราะเป็นปัญหาที่แก้ไม่รู้จบแน่นอน ไฟหน้าและไฟท้ายก็มีความสำคัญเช่นกันถ้าหากไม่ติดก็แนะนำให้ทางเต็นท์เปลี่ยนใหม่ให้

6.ตรวจสภาพภายในห้องโดยสาร

ภายในห้องโดยสารก็เป็นอีกส่วนที่ต้องดูอย่างละเอียด ก่อนอื่นจะต้องเริ่มจากระบบไฟฟ้าภายในรถ แอร์เย็น วิทยุดังหรือไม่ รวมไปถึงกระจกไฟฟ้ายังใช้งานได้หรือไม่ กระจกข้างไฟฟ้าหละยังพร้อมใช้งานหรือเปล่า ถ้าหากส่วนไหนใช้งานไม่ได้ก็ต้องแจ้งทางเต็นท์นะครับเพราะเขามีหน้าที่เปลี่ยนหรือซ่อมอยู่แล้ว ระบบเกียร์ออโต้มีเสียงดังหรือมีการกระชากของการเปลี่ยนเกียร์หรือไม่เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นมาลูกนึงไม่ใช้ถูกๆนะครับ ฉะนั้นควรตรวจสอบสภาพการใช้งานให้ถี่ถ้วน

อ่านสาระน่ารู้เพิ่มเติม: