ขับลุยน้ำสาดมาเยอะ…รู้ไหม? ถึงเวลาต้องเช็ก “กรองอากาศ” หรือยัง!
ช่วงหน้าฝนแบบนี้ ใครที่ขับรถลุยน้ำ ลุยฝน ลุยทางเปียกๆ ทุกวัน บอกเลยว่ามีสิ่งหนึ่งที่คนมักมองข้าม นั่นก็คือ “กรองอากาศ” ของรถยนต์ แม้มันจะดูเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ แต่ถ้ามันสกปรกหรือเสียหายขึ้นมาเมื่อไหร่ บอกเลยว่า ส่งผลถึงเครื่องยนต์ได้แบบเต็มๆ
ขับลุยน้ำ มีผลกับกรองอากาศยังไง?
เวลารถลุยน้ำ หรือวิ่งผ่านแอ่งน้ำลึกๆ น้ำจะกระเซ็นขึ้นไปทั่วใต้ท้องรถ บางครั้งอาจถึงบริเวณห้องเครื่อง ซึ่งกรองอากาศก็มักจะอยู่ในโซนนั้น หากฝาครอบกรองอากาศไม่แน่น หรือมีช่องทางให้น้ำเล็ดลอดเข้าไปได้ น้ำหรือความชื้นก็อาจซึมเข้าไปในตัวกรองโดยตรง
ผลที่ตามมา
- กรองอากาศอาจเปียกหรือชื้นสะสม
- ฝุ่นโคลนจากน้ำสาดอาจติดเข้าไปในกรอง
- อัตราการกรองอากาศลดลง ทำให้เครื่องยนต์หายใจไม่สะดวก
- กินน้ำมันมากขึ้น เครื่องอืด เสียงเดินเบาผิดปกติ
- กรณีหนักสุด อาจดูดน้ำเข้าท่อไอดี ทำให้เครื่องยนต์เสียหาย
แล้วควรเปลี่ยนกรองอากาศตอนไหน?
โดยปกติ กรองอากาศควรเปลี่ยนทุก 20,000 – 30,000 กิโลเมตร หรือเช็กทุกๆ 10,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเพิ่งลุยน้ำมาหนักๆ ควรถอดออกมาเช็กทันที อย่ารอ
เช็กเองได้ง่ายๆ
- เปิดฝากระโปรงรถ หากรถยังอุ่นอยู่ ให้รอให้เครื่องเย็นก่อน
- ถอดฝาครอบกรองอากาศ (มักใช้คลิปล็อก ไม่ต้องใช้เครื่องมือ)
- ดึงกรองอากาศออกมา แล้วสังเกตว่า
- แห้งสนิทหรือไม่
- มีฝุ่นโคลนหรือคราบสีน้ำตาลเปียกๆ ไหม
- มีรอยเปื่อยยุ่ยหรือไม่
ถ้ามีอาการเหล่านี้ ควรเปลี่ยนทันที อย่ารอให้เครื่องพัง
เปลี่ยนกรองอากาศใหม่ มีผลยังไง?
- เครื่องยนต์หายใจสะดวกขึ้น
- การเผาไหม้ดีขึ้น ประหยัดน้ำมัน
- อัตราเร่งดีขึ้น ขับสนุกกว่าเดิม
- อายุการใช้งานของเครื่องยนต์ยืนยาวขึ้น
เคล็ดลับเพิ่มความอุ่นใจช่วงหน้าฝน
- หลีกเลี่ยงการลุยน้ำลึก ถ้าจำเป็นต้องลุยให้ใช้เกียร์ต่ำ (L/1) และเดินคันเร่งต่อเนื่อง
- หลังลุยน้ำ ควรสตาร์ทรถทิ้งไว้ 5-10 นาที เพื่อไล่ความชื้น
- เช็กกรองอากาศ, ผ้าเบรก, และจุดเชื่อมต่อสายไฟต่างๆ
สรุปง่ายๆ ลุยน้ำมาเยอะ อย่านิ่งนอนใจ เปิดดูกรองอากาศสักนิด อาจช่วยให้เครื่องยนต์รอดจากหายนะถ้ายังไม่แน่ใจ หรือเปิดดูไม่เป็น เข้าอู่ก็ได้ ใช้เวลาแป๊บเดียว แต่ช่วยเซฟค่าซ่อมหลักหมื่นได้แน่นอน