ในปัจจุบันรถยนต์ถือเป็นปัจจัยหลักสำหรับมนุษย์ เพราะในเรื่องของการคมนาคมการเดินทางของของบ้านเรานั้นยังไม่มีความสะดวกเท่าที่ควร คนไทยจึงหันมาเลือกที่จะเสียเงินไปกับการผ่อนรถยนต์มากกว่าที่จะใช้รถยนต์สาธารณะทั้งสะดวกและรวดเร็วกว่า การตัดสินใจเพื่อที่จะซื้อรถจึงมีมากยิ่งขึ้นฉะนั้นก่อนที่คิดจะเป็นหนี้ก้อนโตเราลองมาสำรวจกันก่อนว่า ตอนนี้เรามีข้อไหนบ้างที่ควรจะฉุกคิดก่อนที่จะซื้อรถ
1.ราคาและภาระหนี้สิน (ค่างวดของการผ่อนต่อเดือน)
เรื่องภาระหนี้สินเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งสำหรับการซื้อรถยนต์เพราะรถยนต์นั้นมีราคาที่ค่อนข้างสูง ถึงเราจะเล็งเห็นความสำคัญของรถยนต์ และประโยชน์ต่างๆแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า ค่างวดในการผ่อนต่อเดือนอาจจะทำให้รายได้คุณหายไปในแต่ละเดือนถึงขั้นไม่พอใช้กันเลยทีเดียว
ทางไฟแนนซ์มักจะพิจารณาในเรื่องของรายได้และค่างวดการผ่อนในแต่ละเดือนไม่ให้เกิน 50% ของรายได้แต่ทางที่ดีเราควรจะพิจารณาในเรื่องของหนี้สินรวมทั้งค่าผ่อนรถและบัตรเครดืตไม่ควรเกิน 30% ของมูลค่าทรัพย์สินที่เรามีจะดีกว่า
แต่การออกรถก็ยังพอมีทางออก ด้วยการวางเงินดาวน์ในการออกรถให้ภาระหนี้ในแต่ละเดือนนั้นลดลงก็จะช่วยให้หนี้ในแต่ละเดือนของคุณลดลงไป หมายความว่าหลังจากที่คุณเชคเครดิตกับไฟแนนซ์แล้ว ได้ยอดจัดวงเงินเต็มราคารถ แต่ต้องการกู้เพียง 90% ก็วางเงินดาวน์ที่ 10% ของราคารถ ก็จะทำให้เงินต้นลดลงไปและค่างวดของแต่ละเดือนก็ลดลงไปด้วย
2.ค่าใช้ที่แอบแฝงในแต่ละเดือน
การออกรถไม่ใช่ว่าจะผ่อนไหวแล้วจบแล้วก็คิดจะซื้อทันที เพราะการออกรถแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆตามมาอีกเช่น
ค่าภาษีรถยนต์ ต่อปีจะอยู่ราวๆ 600-1200 บาทขึ้นอยู่กับประเภทรถยนต์และขนะของเครื่องยนต์ ส่วนค่าประกันรถยนต์ ก็จะขึ้นอยู่แพคเกจ
ถ้าเป็นประกันมือหนึ่งจะอยู่ราวๆ 12,000 บาทต่อปี หรือ ถ้าเป็น 2 จะอยู่ราวๆ 8000 บาทต่อปี
- ค่าต่อทะเบียนรายปี 1500-3000 ขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์และขนาดของเครื่องยนต์
- ค่าบำรุงรักษาต่อปีเริ่มต้นที่ 5,000 บาทต่อปีตามยี่ห้อและระดับของรถยนต์ เพราะรถยนต์จะต้องมีการถ่ายของเหลวตามระยะอยู่แล้วโดย1 ปีจะถ่ายประมาณ 2 ครั้ง
- ยาง 4 ล้อ เปลี่ยน 4 ปี ครั้ง ราวๆ 20,000 ก็นำมาหารเป็นรายปี จะเหลือปีละ 5,000 บาท ยังไม่รวมไปถึงการซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอหรือพังตามกาลเวลา
- ค่าน้ำมัน การเดินทางในแต่ละครั้งก็จะต้องใช้น้ำมันค่าเดินทางต่อเดือนจะอยู่ราวๆ 4,000 บาท แล้วแต่ระยะการใช้งานของแต่ละคน ซึ่งคำนวนอย่างต่ำๆแล้ว 4,000 บาท ต่อเดือน จะเป็น 48,000 บาทต่อปี
- ค่าทางด่วน สมมุตว่าคุณเป็นทำงานไกลบ้านมากๆ อาจจะต้องเสียค่าทางด่วนราวๆ เดือนละ 1,000 บาท ก็จะเป็น 12,000 บาทต่อปี
- ค่าล่างรถขัดสี บางคนอาจจะขยันหน่อยล้างรถเองเป็นประจำ แต่ก็เลี่ยงที่จะมีการบำรุงรักษาขัดสีไม่ได้ 3เดือนต่อครั้งก็ราวๆ 400 บาทต่อครั้ง ก็จะเป็นเงิน 1,200 บาทต่อปี
ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อปี รวมๆกันแล้วจะอยู่ราวๆ 71,200 บาท ต่อปีนั่นเองครับ
3.สะดวกสบายในการเดินทาง
แน่นอนว่าการมีรถส่วนตัวก็เป็นข้อดีสำหรับเดินทาง ทั้งประหยัดเวลาไม่ต้องเสียเวลารอรถประจำทางแต่ก็ต้องดูด้วยว่า ที่อยู่อาศัยของเรา มีสภาพรถติดบ่อยหรือไม่ หรือใกล้กับรถไฟฟ้ารึเปล่า
4.รถยนต์สามารถสร้างรายได้ให้เราได้หรือไม่
การมีรถยนต์ใช้งานเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าก่อให้เกิดแต่หนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรใดๆ ฉะนั้นการเลือกรถแต่ละประเภทก็ควรเหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละคนด้วยเช่น ที่บ้านนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับการทำสวนทำไร ก็ต้องเป็นรถกระบะ แต่ถ้าหากเป็นพนักงานอ๊อฟฟิสใช้งานในเมืองก็แนะนำให้เป็นรถ ECO Car ประหยัดน้ำมัน และต้องทำความเข้าใจว่า รถยนต์เป็นทรัพย์สินเสื่อมราคา เพราะถ้าหากคุณยิ่งใช้ค่าความเสื่อมก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย ฉะนั้นควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
5.จำนวนของสมาชิกในครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากในเรื่องของการใช้งานและความจำเป็นแล้ว จะต้องมองในเรื่องของจำนวนสมาชิกในครอบครัวอีกด้วยเพราะถ้าหากการออกขนาดเล็กแต่มีครอบครัวใหญ่ ก็ถือว่าไม่ตอบโจทย์ เพราะจะทำให้เดินทางลำบากมากยิ่งขึ้น รถยนต์ในปัจจุบันก็มีหลายแบบหลายสไตล์ให้เลือกนะครับฉะนั้นคิดให้ดีก่อนที่จะซื้อครับ
และนี่ก็เป็น 5 ข้อที่ควรวางแผนและฉุกคิดก่อนที่จะซื้อรถ เพราะบางครั้งแล้ว รถยนต์นั้นถึงจะเป็นสิ่งสำคัญในมุมมองสำหรับบางคนเพราะด้วยเหตุผลทางการเดินทาง หรือเหตุผลทางด้านธุรกิจ แต่ก็ควรฉุกคิดก่อนที่จะออกเพราะของทุกอย่างนั้นซื้อมาด้วยเงินฉะนั้นวางแผนล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ