เรียกว่ามุมมองทางการตลาดของ Ford นั้นเปลี่ยนไป ซึงก่อนหน้านี้ได้มีแผนที่ยกรถสันดาป์ แล้วหันไปลุยตลาด และ ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแทนเครื่องสันดาปล้วนแบบ 100% ให้ได้ภายในปี 2573 และในท้ายสุดความคิดนี้ก็ต้องพังทลายลงเมื่อเผชิญกับความต้องการในธุรกิจของรถไฟฟ้าเริ่มซบเซาลง
หลังจากทาง Ford ได้ตั้งเป้าว่าจะเปลี่ยนมาผลิตเป็นรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อเป็นข้อกำหนดในการทางด้านควบคุมการปล่อยมลพิษของสหภาพยุโรปในปี 2030 หรือภายใน 5 ปี (หลังจากวันที่ได้ประกาศ) แต่ตอนนี้ทาง Ford ได้กล่าวว่าเขาจะกลับมาทำตลาดเครื่องยนต์สันดาปควบคู่ไปเช่นเดิมหากว่าโลกเรายังคงต้องการเทคโนโลยีในรูปแบบยนตกรรมอยู่
แม้ว่ายอดขาย EV จะมีการชลอตัวลงบ้าง แต่ทาง Ford กล่าวว่าไม่มีแผนที่จะยื้อเวลาของ Ford Focus Hatchback และทาง Sanders ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในระยะยาวผมก็ยังคงเชื่อว่า รถไฟฟ้านั้นก็คืออนาคต และเราอาจจะได้เห็นรุ่นต่อๆไปมากขึ้นในเวลาอันสมควร”
“หากต้องการยนต์กรรมที่ดีที่สุดก็ขอเสนอเป็นรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริด ” Martin Sander หัวหน้าฝ่ายธุรกิจยานยนต์ของ Ford ในยุโรปได้กล่าวในงานประชุมสุดยอด Financial Time Future of the Car เรียกว่าทาง Sander ยอมรับว่าความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันไม่ตรงกับความคาดหวัง Ford และทางบริษัทถือว่าเป็นความล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
และนี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่สู้ดีในมุมมอง ผู้บริหารระดับสูงของทาง Ford ที่เตรียมที่จะใช้เงินจำนวน 2 พันล้านดอลลาร์ในการเปลี่ยนแปลงโรงงานในเมือง Cologne ในประเทศ Germany ให้เป็นศูนย์กลางในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า เดิมทีเลยเป็นโรงงานการประกอบ Ford Fiesta คาดว่าจะเริ่มสร้าง Ford Expiorer SUV ที่ใช้เทคโนโลยีแพลทฟอร์มจาก VW ID.4 และคาดว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ 2 ภายใต้แพลทฟอร์ม VW MEB แบบเดียวกันในเดือนเดียวกัน Puma Crossover ไฟฟ้าขนาดเล็กจะเริ่มผลิตในประเทศ Romania กำหนดช่วงปลายปีนี้
Sanders ยังคงให้คำมั่นด้วยว่าฟอร์ดยังคงไม่ทิ้งรถยนต์ไฟฟ้าและอาจจะมีการปรับราคาไปตามกลไกของตลาดโดยรถไฟฟ้าจะคิดเป็นร้อยละ 22% ของยอดขายและผู้ผลิตรถยนต์โดยตัวเลขดังกล่าวก็ได้เพิ่มขึ้นในทุกๆปี ซึ่งมันดูสวนทางกับความต้องการและอุปทานของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
ข่าวสารรถยนต์