เตือนแล้วนะ.. อันตรายจากการลืมเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง
อันตรายจากการไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อถึงระยะ สามารถส่งผลต่อเครื่องยนต์ได้ทุกส่วน เพราะ การที่น้ำมันเครื่องหมดประสิทธิภาพนั้นก็หมายถึง เครื่องยนต์ของคุณจะต้องสึกหรอจากการใช้งาน ไม่เพียงเท่านั้น หากคุณยังฝืนใช้งานต่อไปก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์นั้นเกิดความร้อนจากการเสียดสีของอุปกรณ์ภายในเครื่องยนต์จนทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะเมื่อน้ำมันเครื่องหมดประสิทธิภาพแล้วนั่นก็หมายถึงการส่งผลต่อการทำงานอย่างแน่นอน
นอกจากนั้นแล้ว การเสียดสีและความร้อนจะส่งผลต่อการทำงานและความเสียหายของลูกสูบอย่างรุนแรง ลูกสูบจะหลวม เครื่องยนต์ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ เกิดคราบต่างๆตามชิ้นส่วนภายในของเครื่องยนต์ ผนังห้องเผาไหม้กลายเป็นควันขาวออกท่อไอเสีย เสียงของเครื่องยนต์จะเริ่มดังกราว น้ำมันเครื่องลดลงเป็นอย่างมากจากเดิม เมื่อน้ำมันเครื่องน้อยก็จะไม่สามารถเลี้ยงไปสู่ระบบวาล์วแปรผันได้ จะทำให้การจุดระเบิดเครื่องยนต์ผิดพลาดที่ความเร็วสูงเครื่องยนต์จะกินน้ำมันเครื่องเพิ่มมากขึ้นทำงานหนักมากยิ่งขึ้นและถ้าหากฝืนใช้งานต่อไปเครื่องยนต์ก็จะพังในที่สุด
แล้วเราควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อไหร่?
อันที่จริงแล้วการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องไม่ใช่แค่หมายถึงระยะการใช้งานเพียงเท่านั้น โดยอายุของน้ำมันเครื่องตั้งแต่เมื่อเติมลงเครื่องยนต์มันก็มีระยะเวลาของมันอยู่ด้วย โดยสามารถนับจากวันเปลี่ยนถัดไปอีก 6-8 เดือน หากไม่ได้ใช้งานก็ควรถ่ายออกแล้วเปลี่ยนใหม่เช่นกัน
โดยประสิทธิภาพของน้ำมันแต่ละแบบก็แตกต่างกันออกไปโดยสามารถกำหนดจากชนิดของน้ำมันเครื่องดังนี้ เช่น
น้ำมันเครื่องธรรมดา ที่ผลิตจากน้ำมันแร่ สามารถใช้งานได้ 5,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ ที่ผลิตจากน้ำมันแร่และน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน สามารถใช้งานได้ 7,500-8,000 กิโลเมตร
น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือน้ำมันสังเคราะห์แท้ ที่ผลิตจากน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานสังเคราะห์ สามารถใช้งานได้ 10,000-15,000 กิโลเมตร
โดยเบอร์ของน้ำมันเครื่องจะระบุข้างแกลอนแบ่งตามชนิดความหนืด ดังนี้
- น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว โดยสมาคมวิศวกรรมยานยนต์แห่งสหรัฐอเมริกา หรือ SAE ได้วางมาตรฐานโดยแบ่งตามค่าความข้นใส หรือความหนืด ได้แก่ SAE 0W, 5W, 10W, 15W, 20W, 25W อักษร W สำหรับใช้ในเขตหนาว และ SAE 20, 30, 40, 50, และ 60 สำหรับในเขตร้อน ตัวเลขมากยิ่งความหนืดสูง
- น้ำมันเครื่องเกรดรวม เป็นการพัฒนาน้ำมันเครื่องให้สามารถใช้งานได้ทั้งในสภาพอากาศร้อนและเย็น น้ำมันเครื่องเกรดรวมจะมีค่าดัชนีความหนืดสูงสามารถทนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ดี เช่น SAE 10W-30, 15W-40, 20W-50
แบ่งตามชั้นคุณภาพด้านการใช้งาน
ตามค่ามาตรฐาน API โดยสถาบันปิโตเลียมแห่งสหรัฐอเมริกา กดหนดมาตรฐานน้ำมันเครื่องโดยแบ่งตามประเภทของเครื่องยนต์ดังนี้
- น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน จะใช้อักษร S (Station Service) นำหน้ามาตรฐาน API ได้แก่ API SA, SB, SC, SE, SF, SG, SH, SJ, SL, SM, และสูงสุดในปัจจุบันคือ SN โดย A-N เป็นการแบ่งระดับชั้นคุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ได้พัฒนาให้มีคุณภาพสูงขึ้น
- น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะใช้อักษร C (Commercial Service) นำหน้ามาตรฐาน API ได้แก่ API CA, CB, CC, CD, CD-II, CE, CF-4, CF, CF-2, CG-4, CH-4, CI-4, CI-4 PLUS และสูงสุดในปัจจุบันคือ CJ-4
และทั้งหมดนี้ก็เป็นความห่วงใยสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องหันมาใส่ใจดูแลเครื่องยนต์ของคุณให้มากขึ้น เพื่อคุณจะได้ใช้รถยนต์ที่คุณรักไปนานๆ